กองทุน เงินทดแทน

กองทุนเงินทดแทน คืออะไร
       กองทุนเงินทดแทน คือ กองทุนที่จ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วย ถึงแก่ความตายหรือสูญหาย เนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างโดยไม่คำนึงถึงวัน เวลาและสถานที่ แต่จะดูสาเหตุที่ทำให้ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
เงินสมทบ คืออะไร
       เงินสมทบ คือ เงินที่นายจ้างจ่ายเข้ากองทุนเงินทดแทนแต่พียงฝ่ายเดียว จะเรียกเก็บจากนายจ้างเป็นรายปี โดยประเมินจากค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างทั้งปีรวมกัน (คนละไม่เกิน 240,000 บาทต่อปี) คูณกับอัตราเงินสมทบของประเภทกิจการ ระหว่างอัตรา 0.2-1.0% โดยนายจ้างแต่ละประเภทกิจการจะจ่ายในอัตราเงินเงินสมทบหลักที่แตกต่างกันตามประกาศกระทรวงฯ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงภัย ตามรหัสประเภทกิจการของนายจ้างนั้น
เงินสมทบตามค่าประสบการณ์ คืออะไร
      เพื่อให้นายจ้างให้ความสนใจในการจัดสถานที่ทำงานที่ปลอดภัย เมื่อนายจ้างจ่ายเงินสมทบตามอัตราเงินสมทบหลัก 4 ปีติดต่อกันแล้ว จะมีการคำนวณอัตราส่วนการสูญเสียและนำไปเปรียบเทียบกับตารางลด-เพิ่มอัตราเงินสมทบเพื่อนำมากำหนดอัตราเงินสมทบโดยปรับลดลงหรือเพิ่มขึ้นจากอัตราเงินสมทบโดยจะเริ่มจ่ายเงินสมทบตามอัตราเงินสมทบตามค่าประสบการณ์ ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป


กิจการใดบ้าง ที่ได้รับการยกเว้นโดยไม่ต้องจ่ายเงินสมทบ?
-                   ราชการส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาค/ส่วนท้องถิ่น
-                   รัฐวิสาหกิจ
-                   นายจ้าง ซึ่งประกอบธุรกิจโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับครูหรือครูใหญ่
-                   นายจ้างที่ดำเนินกิจการที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ
-                  นายจ้างอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
กำหนดเวลายื่นแบบขึ้นทะเบียน?
       นายจ้าง มีหน้าที่ยื่นแบบขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คน
1.  สถานที่ยื่นแบบขึ้นทะเบียน?
        กำหนดให้นายจ้างยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่ สำนักงานประกันสังคม ณ ท้องที่ที่สถานประกอบการทั้งคู่
2.  เอกสารที่ต้องนำมาในวันยื่นขึ้นทะเบียน?
-                   แบบขึ้นทะเบียน (แบบ สปส.1-01) ใช้ชุดเดียวกับการขึ้นทะเบียนกองทุนประกันสังคม
-                   สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลหรหือสำเนาใบทะเบียนพาณิชย์
-                   สำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.20) หรือ สำเนาใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ( แบบ ร.ง.4 )
-                   แผนที่ตั้งของสถานประกอบการ หรือโรงงานของนายจ้าง
-                   สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน เจ้าของกิจการและผู้รับมอบอำนาจ
-                   หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
3.  หากนายจ้างมีสำนักงานหลายสาขาจะยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่ไหน?
        นายจ้างที่มีสำนักงานสาขา หรือมีลูกจ้างทำงานในหลายจังหวัดจะต้องยื่นแบบขึ้นทะเบียน และจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนรวมกันเพียงแห่งเดียว ณ เขตท้องที่ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ โดยแจ้งรายละเอียดสถานที่ตั้งและจำนวนลูกจ้างของสาขาไว้ด้วย
4.   สิ่งที่นายจ้างได้รับภายหลังการขึ้นทะเบียน
1.  เลขที่บัญชี ซึ่งจะเป็นเลขเดียวกับกองทุนประกันสังคม เพื่อใช้อ้างอิงในการติดต่อ
2.  ใบประเมินเงินสมทบ เพื่อแจ้งให้นายจ้างทราบถึงจำนวนเงินสมทบที่จะต้องจ่ายเข้ากองทุนพร้อมทั้งกำหนดวันที่ซึ่งนายจ้างจะต้องนำเงินมาจ่าย
3.  หนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียน
นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบประจำปีเมื่อใด?
         กองทุนเงินทดแทน จะเรียกเก็บเงินสมทบจากนายจ้างเป็นรายปี (ปีละ 1 ครั้ง) โดยในปีแรกนายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คน สำหรับปีต่อๆไป จ่ายภายในเดือนมกราคมของทุกปี เงินสมทบที่เรียกเก็บต้นปี คิดมาจากจำนวนเงินค่าจ้างจริงที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากในระหว่างปีนายจ้างอาจมีการเพิ่มหรือลดจำนวนลูกจ้าง ปรับอัตราค่าจ้าง เป็นต้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นายจ้างต้องแจ้งจำนวนค่าจ้างรวมทั้งปีของปีที่ผ่านมาไปยังสำนักงานประกันสังคมอีกครึ่งหนึ่ง เพื่อจะได้นำไปเปรียบเทียบกับเงินสมทบที่เก็บไว้เมื่อต้นปี หากจำนวนค่าจ้างจริงของปีที่ผ่านมาสูงกว่าค่าจ้างที่ประมาณไว้ เป็นเหตุให้เงินสมทบที่เก็บไว้เมื่อปีที่ผ่านมาน้อยกว่า ก็จะเรียกเก็บเพิ่มภายใน 31 มีนาคม หกจำนวนเงินค่าจ้างรวมทั้งปีต่ำกว่าเดิมทำให้เงินสมทบ ที่เรียกเก็บสูงกว่าความเป็นจริง เมื่อตรวจบัญชีของนายจ้างแล้ว หากค่าจ้างต่ำกว่าที่ประเมินไว้จะได้รับเงินสมทบส่วนที่จ่ายเกินคืน
การรายงานค่าจ้าง  
       นายจ้างต้องรายงายค่าจ้างที่จ่ายจริงของปีที่ผ่านมาภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี การไม่รายงานค่าจ้างภายในกำหนดอาจมีผลทำให้นายจ้างต้องชำระเงินเพิ่มตามกฎหมาย หากเงินสมทบที่คำนวณได้สูงกว่าเงินสมทบที่จ่ายไว้เมื่อเดือนมกราคมของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ นายจ้างใดไม่จ่ายเงินสมทบภายในกำหนดเวลาหรือจ่ายเงินสมทบไม่ครบจำนวน ต้องจ่ายเงินเพิ่มตามกฎหมายอีกในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย
เมื่อใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง?
·      สิทธิเกิดขึ้นทันทีนับตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานให้นายจ้าง
การประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานหมายความว่าอย่างไร?
        หมายความว่า การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือผลกระทบแก่จิตใจหรือถึงความตายเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้นายจ้าง หรือทำตามคำสั่งของนายจ้าง
การเจ็บป่วยด้วยโรคเนื่องจากการทำงานหมายความว่าอย่างไร?
         การที่ลูกจ้างเจ็บป่วยหรือถึงแก่ความตายด้วยโรคซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงาน หรือเนื่องจากการทำงาน


สูญหาย หมายความว่าอย่างไร
การที่ลูกจ้างหายไปในระหว่างการทำงานหรือปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้าง ซึ่งมีเหตุอันควรเชื่อว่าลูกจ้างถึงแก่ความตาย เพราะประสบเหตุอันตรายที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานหรือปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้างนั้น รวมตลอดถึงการที่ลูกจ้างหายไปในระหว่างเดินทางโดยเฉพาะทางบก ทางอากาศ หรือทางน้ำเพื่อไปทำงานให้นายจ้าง ซึ่งมีเหตุอันควรเชื่อว่าพาหนะนั้นได้ประสบเหตุอันตรายและลูกจ้างถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 120 วัน นับแต่วันที่เกิดเหตุนั้น
เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน จะได้รับอะไรบ้าง?
          ได้รับเงินทดแทน ซึ่งประกอบด้วย ค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนรายเดือน ค่าทำศพ และค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน
1.  ค่ารักษาพยาบาล ได้รับเงินเท่าใด?
        มีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 50,000 บาท ต่อการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย 1 ครั้ง หากมีการบาดเจ็บที่รุนแรงหรือเรื้อรังตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ.2558 จ่ายเพิ่มได้อีก 100,000 บาท รวมแล้วไม่เกิน 150,000 บาท หากไม่เพียงพอสามารถจ่ายเพิ่มได้อีก รวมแล้วไม่เกิน 300,000 บาท หรือหากไม่เพียงพอสามารถจ่ายเพิ่มขึ้นได้อีกรวมแล้วไม่เกิน 500,000 บาท โดยตามความเห็นของคณะกรรมการการแพทย์ และหากไม่เพียงพอสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น แต่รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,000,000 บาท โดยคณะกรรมการการแพทย์พิจารณาและ๕ระกรรมการกองทุนเงินทดแทนให้ความเห็นชอบ
2.   ค่าทดแทนรายเดือน รับอย่างไร?
         เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง จนเป็นเหตุให้มีการหยุดงาน สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ ตาย หรือสูญหาย จะได้ค่าทดแทนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในท้องที่ที่ลูกจ้างประจำทำงานอยู่ และไม่เกิน 12,000 บาทต่อเดือน
          1) กรณีแพทย์ให้หยุดพักรักษาตัว จะได้รับสิทธิอะไรบ้าง?
               มีสิทธิได้รับค่าทดแทนร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน กรณีลูกจ้างไม่สามารถทำงานติดต่อกันได้เกิน 3 วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี โดยต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ระบุหยุดพักรักษาตัวติดต่อกันเกิน 3 วันขึ้นไป และลูกจ้างมีการหยุดพักรักษาตัวจริงตามในรับรองแพทย์
           2) กรณีสูญเสียอวัยวะ จะได้รับอะไรบ้าง?
                มีสิทธิได้รับค่าทดแทนร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี ทั้งนี้ การประเมินการสูญเสียอวัยวะ ลูกจ้างต้องได้รับการรักษาพยาบาลทางการแพทย์จนสิ้นสุดการรักษา และอวัยวะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างประสบอันตราย
          3) กรณีทุพพลภาพ จะได้รับอะไรบ้าง?
               มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี
          4) กรณีถึงแก่ความตายหรือสูญหาย จะได้รับอะไรบ้าง?
               มีสิทธิได้รับค่าทดแทนร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือนเป็นระยะเวลา 8 ปี จ่ายให้กับผู้มีสิทธิตามกฎหมาย และค่าทำศพ

3.  ค่าทำศพ จ่ายอย่างไร?
        ได้รับค่าทำศพ เป็นจำนวน 100 เท่าของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน โดยจ่ายให้กับผู้จัดการศพ
4.   หากลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู จะได้รับค่าฟื้นฟูอย่างไร?
        กรณีฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานภายหลังการประสบอันตรายสำหรับลูกจ้างที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู ได้รับตามอัตราดังนี้
-                   ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานด้านอาชีพ โดยให้จ่ายได้เฉพาะที่เป็นการฝึกตามหลักสูตรที่หน่วยงานของสำนักงานประกันสังคมเป็นผู้ดำเนินการ ไม่เกิน 24,000 บาท
-                   ค่าใช้จ่ายในกระบวนการเวชศาสตร์ฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานด้านการแพทย์ โดยเป็นค่าใช้จ่ายทางกายภาพบำบัดไม่เกินวันละ 200 บาท และค่าใช้จ่ายทางกิจกรรมบำบัดไม่เกินวันละ 100 บาท แต่รวมแล้วไม่เกิน 24,000 บาท
-                   ค่าใช้จ่ายในกระบวนการบำบัดรักษาและการผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานไม่เกิน 40,000 บาท หากมีความจำเป็นให้จ่ายเพิ่มได้อีกไม่เกิน 110,000 บาท โดยคณะกรรมการการแพทย์พิจารณา และคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนให้ความเห็นชอบ
-                   ค่าวัสดุและอุปกรณ์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู หน่วยละไม่เกินอัตราตามที่กระทรวงการคลังกำหนด แต่รวมแล้วไม่เกิน 160,000 บาท
โดยกฎกระทรวงกำหนดการจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ.2558 มีผลใช้บังคับตังแต่วันที่ 16 มีนาคม 2558 และใช้บังคับรวมถึงลูกจ้างที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยซึ่งอยู่ระหว่างเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานอยู่ในวันก่อนที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับโดยให้ใช้อัตราค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานตามกฎกระทรวงนี้นับตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับเป็นต้นไป
ถ้าลูกจ้างตายหรือสูญหาย ใครเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทน?
     ผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทน ได้แก่
1.    มารดา
2.    บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย
3.    สามีหรือภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย
4.    บุตรที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
5.    บุตรที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่ยังศึกษาอยู่ในระดับที่ไม่สูงกว่าปริญญาตรีให้ได้รับส่วนแบ่งต่อไปตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่
6.     บุตรที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี และทุพพลภาพหรือหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ซึ่งอยู่ในอุปการะของลูกจ้างก่อนลูกจ้างถึงแต่ความตายหรือสูญเสีย
7.   บุตรของลูกจ้างซึ่งเกิดภายใน 310 วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างถึงแก่ความตาย หรือวันที่เกิดเหตุ สูญเสีย มีสิทธิรับเงินแทนนับแต่วันคลอด
8.    หากไม่มีบุคคลดังกล่าวข้างต้น ให้ผู้อยู่ในอุปการะของลูกจ้างก่อนถึงแก่ความตาย หรือสูญเสียเป็นผู้มีสิทธิ แต่ผู้อยู่ในอุปการะดังกล่าวจะต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะขาดอุปการะจากลูกจ้างที่ตายหรือสูญเสีย
การเข้ารับการรักษาพยาบาล ทำอย่างไร?
          นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาลทันทีในสถานพยาบาลใดก็ได้ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยแบ่งเป็น 2 กรณี
           ( 1 )  โดยสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน
           ( 2 )  กรณีเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลในความตกลงให้นายจ้างส่งแบบ กท.44 นายจ้าง ลูกจ้างไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล สถานพยาบาลในความตกลงของกองทุนเงินทดแทนจะเรียกเก็บจากกองทุนเงินทดแทนภายในวงเงินที่กฎหมายกำหนด
การแจ้งการประสบอันตรายทำโดยวิธีใด?
          นายจ้างหรือผู้รับมอบอำนาจแจ้งตามแบบ กท.16 โดยยื่นเรื่อง ณ สำนักงานประกันสังคมที่ลูกจ้างทำงานอยู่ หรือที่นายจ้างมีภูมิลำเนาซึ่งสามารถส่งเอกสารได้โดยตรงที่สำนักงานประกันสังคมหรือส่งทางไปรษณีย์ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้าง
           การแจ้งการประสบอันตรายนายจ้างและลูกจ้างต้องแสดงเอกสารใบเสร็จรับเงิน ใบรับรองแพทย์ ประวัติการรักษาพยาบาล และหลักฐานการปฏิบัติงานประกอบการพิจารณา เช่น หลักฐานการลงเวลาทำงาน รวมทั้งให้ข้อเท็จจริงจะทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่วินิจฉัยได้รวดเร็ว
ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิ ต้องยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทนภายในกี่วัน?
         ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญหาย หากการเจ็บป่วยหรือเกิดโรคจากการทำงานหลังสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างให้ยื่นคำร้องภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ราบการเจ็บป่วย
ค่ารักษาพยาบาล เบิกได้อย่างไร?
          ลูกจ้างสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่มีแพทย์แผนปัจจุบันชั้น 1 ได้ทุกโรงพยาบาล โดยสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลและให้นำใบเสร็จรับเงินพร้อมใบรับรองแพทย์ มาขอรับค่ารักษาพยาบาลคืนได้ ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่จ่ายตามอัตราที่กำหนดในทางกฎหมาย
            กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่ทำความตกลงกับกองทุนเงินทดแทน สถานพยาบาลนั้นจะเรียกเก็บเงินจากกองทุนเงินทดแทนโดนตรง และขอให้นายจ้างตรวจค่ารักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลทุกครั้งที่ส่งตัวลูกจ้างเข้ารับการรักษาพยาบาล ซึ่งการจ่ายค่ารักษาพยาบาลจะจ่ายตามราคาประกาศของสถานพยาบาลที่ประกาศให้ประชาชนทราบ ทั้งนี้ ไม่เกินอัตราที่กฎหมายกระทรวงกำหนด และสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลในความตกลงของกองทุนเงินทดแทนได้ที่ www.sso.go.th  เมนู ดาวน์โหลด หัวข้อข้อมูลสถานพยาบาล
ช่องทางการรับเงิน รับได้ทางใด และใช้หลักฐานอะไรบ้าง?
การรับเงินทดแทน สามารถรับได้ดังนี้
1.    รับที่สำนักงานประกันสังคมที่รับผิดชอบ โดยรับเงินด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจรับเงินแทน ใช้หลักฐานคือ บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้ซึ่งมีรูปถ่าย หากไม่ได้มารับด้วยตนเอง จะต้องมีใบมอบอำนาจพร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบและผู้รับมอบมาแสดง
2.    รับทางธนาณัติ
3.   รับผ่านบัญชีออมทรัพย์ธนาคาร 2 แห่ง คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
คลินิกโรคจากการทำงาน คืออะไร?
          กระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุข ตระหนักถึงกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าและสำคัญยิ่งของประเทศ โดยได้จัดทำข้อตกลงความร่วมมือการจัดตั้ง “โครงการศูนย์โรคจากการทำงาน” ขึ้น เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2548

1)  วัตถุประสงค์
จัดให้มีระบบการดูแลสุขภาพและการวินิจฉัยโรคจากการทำงานของลูกจ้าง
-  ดูแล รักษา หลังจากการเกิดโรคและอุบัติเหตุ
-  พัฒนาคลินิกอาชีวเวชศาสตร์และเครือข่าย ตลอดจนแนวทางการวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐาน
-  สร้างระบบป้องกันและส่งเสริมสุขภาพอย่างเป็นธรรม
2)  วิธีการเข้ารักษาที่คลินิกโรคจากการทำงาน
          ลูกจ้างที่สงสัยว่าเจ็บป่วยด้วยโรคจากการทำงาน สามารถเข้ารับบริการตรวจวินิจฉัยได้ที่คลินิกโรคจากการทำงาน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น โดยมีเงื่อนไขในการเข้ารับบริการ ดังนี้
1.    ยื่นแจ้งการประสบอันตรายฯ ตามแบบ กท.16 ต่อสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ที่ลูกจ้างทำงานอยู่ หรือที่นายจ้างมีภูมิลำเนา เพื่อขอหนังสือส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่ให้บริการ คลินิกโรคจากการทำงานหรือติดต่อคลินิกโรคจากการทำงานโดยตรง
2.    กรณีถือบัตรรับรองสิทธิของโรงพยาบาลที่ให้บริการคลินิกโรคจากการทำงาน สามารถเข้ารับบริการได้ โดยติดต่อคลินิกประกันสังคม เพื่อตรวจคัดกรองเบื้องต้น หากพยาบาลที่คัดกรองโรคหรือแพทย์ผู้ทำการตรวจวินิจฉัยสงสัยว่าเจ็บป่วยด้วยโรคจากการทำงาน จะส่งต่อไปยังคลินิกโรคจากการทำงาน
3.    กรณีลูกจ้างเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยไม่ได้แจ้งการประสบอันตราย หากผลการตรวจวินิจฉัยพบว่า ลูกจ้างเจ็บป่วยจากการทำงานให้แจ้งนายจ้างยื่นแบบการประสบอันตราย (กท.16) ต่อสำนักงานประกันสังคม ภายใน 15 วัน เพื่อให้โรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในส่วนของกองทุนเงินทดแทน จากสำนักงานประกันสังคมโดยตรง
4.    กรณีผลการตรวจลูกจ้างไม่เจ็บป่วยจากการทำงาน ลูกจ้างไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิจฉัย เนื่องจากกองทุนเงินทดแทนให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่โรงพยาบาลแล้ว
คลินิกโรคจากการทำงาน มีที่ใดบ้าง
สามารถตรวจสอบรายชื่อคลินิกโรคจากการทำงาน ได้ที่ www.sso.go.th  เมนู ดาวน์โหลด หัวข้ออื่นๆ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น