กองทุนเงินทดแทน คืออะไร
กองทุนเงินทดแทน คือ
กองทุนที่จ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วย
ถึงแก่ความตายหรือสูญหาย เนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างโดยไม่คำนึงถึงวัน
เวลาและสถานที่ แต่จะดูสาเหตุที่ทำให้ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
เงินสมทบ คืออะไร
เงินสมทบ
คือ เงินที่นายจ้างจ่ายเข้ากองทุนเงินทดแทนแต่พียงฝ่ายเดียว
จะเรียกเก็บจากนายจ้างเป็นรายปี
โดยประเมินจากค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างทั้งปีรวมกัน (คนละไม่เกิน 240,000
บาทต่อปี) คูณกับอัตราเงินสมทบของประเภทกิจการ ระหว่างอัตรา 0.2-1.0% โดยนายจ้างแต่ละประเภทกิจการจะจ่ายในอัตราเงินเงินสมทบหลักที่แตกต่างกันตามประกาศกระทรวงฯ
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงภัย ตามรหัสประเภทกิจการของนายจ้างนั้น
เงินสมทบตามค่าประสบการณ์ คืออะไร
เพื่อให้นายจ้างให้ความสนใจในการจัดสถานที่ทำงานที่ปลอดภัย
เมื่อนายจ้างจ่ายเงินสมทบตามอัตราเงินสมทบหลัก 4 ปีติดต่อกันแล้ว
จะมีการคำนวณอัตราส่วนการสูญเสียและนำไปเปรียบเทียบกับตารางลด-เพิ่มอัตราเงินสมทบเพื่อนำมากำหนดอัตราเงินสมทบโดยปรับลดลงหรือเพิ่มขึ้นจากอัตราเงินสมทบโดยจะเริ่มจ่ายเงินสมทบตามอัตราเงินสมทบตามค่าประสบการณ์
ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป
กิจการใดบ้าง ที่ได้รับการยกเว้นโดยไม่ต้องจ่ายเงินสมทบ?
-
ราชการส่วนกลาง/ส่วนภูมิภาค/ส่วนท้องถิ่น
-
รัฐวิสาหกิจ
-
นายจ้าง
ซึ่งประกอบธุรกิจโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับครูหรือครูใหญ่
-
นายจ้างที่ดำเนินกิจการที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ
-
นายจ้างอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
กำหนดเวลายื่นแบบขึ้นทะเบียน?
นายจ้าง
มีหน้าที่ยื่นแบบขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีลูกจ้างตั้งแต่
1 คน
1. สถานที่ยื่นแบบขึ้นทะเบียน?
กำหนดให้นายจ้างยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่
สำนักงานประกันสังคม ณ ท้องที่ที่สถานประกอบการทั้งคู่
2. เอกสารที่ต้องนำมาในวันยื่นขึ้นทะเบียน?
-
แบบขึ้นทะเบียน (แบบ สปส.1-01) ใช้ชุดเดียวกับการขึ้นทะเบียนกองทุนประกันสังคม
-
สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลหรหือสำเนาใบทะเบียนพาณิชย์
-
สำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
(แบบ ภ.พ.20) หรือ สำเนาใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ( แบบ ร.ง.4 )
-
แผนที่ตั้งของสถานประกอบการ
หรือโรงงานของนายจ้าง
-
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
สำเนาทะเบียนบ้าน เจ้าของกิจการและผู้รับมอบอำนาจ
-
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
3. หากนายจ้างมีสำนักงานหลายสาขาจะยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่ไหน?
นายจ้างที่มีสำนักงานสาขา
หรือมีลูกจ้างทำงานในหลายจังหวัดจะต้องยื่นแบบขึ้นทะเบียน และจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนรวมกันเพียงแห่งเดียว
ณ เขตท้องที่ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่
โดยแจ้งรายละเอียดสถานที่ตั้งและจำนวนลูกจ้างของสาขาไว้ด้วย
4. สิ่งที่นายจ้างได้รับภายหลังการขึ้นทะเบียน
1. เลขที่บัญชี
ซึ่งจะเป็นเลขเดียวกับกองทุนประกันสังคม เพื่อใช้อ้างอิงในการติดต่อ
2. ใบประเมินเงินสมทบ เพื่อแจ้งให้นายจ้างทราบถึงจำนวนเงินสมทบที่จะต้องจ่ายเข้ากองทุนพร้อมทั้งกำหนดวันที่ซึ่งนายจ้างจะต้องนำเงินมาจ่าย
3. หนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียน
นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบประจำปีเมื่อใด?
กองทุนเงินทดแทน จะเรียกเก็บเงินสมทบจากนายจ้างเป็นรายปี
(ปีละ 1 ครั้ง) โดยในปีแรกนายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบภายใน 30 วัน
นับแต่วันที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คน สำหรับปีต่อๆไป จ่ายภายในเดือนมกราคมของทุกปี
เงินสมทบที่เรียกเก็บต้นปี คิดมาจากจำนวนเงินค่าจ้างจริงที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากในระหว่างปีนายจ้างอาจมีการเพิ่มหรือลดจำนวนลูกจ้าง
ปรับอัตราค่าจ้าง เป็นต้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
นายจ้างต้องแจ้งจำนวนค่าจ้างรวมทั้งปีของปีที่ผ่านมาไปยังสำนักงานประกันสังคมอีกครึ่งหนึ่ง
เพื่อจะได้นำไปเปรียบเทียบกับเงินสมทบที่เก็บไว้เมื่อต้นปี
หากจำนวนค่าจ้างจริงของปีที่ผ่านมาสูงกว่าค่าจ้างที่ประมาณไว้
เป็นเหตุให้เงินสมทบที่เก็บไว้เมื่อปีที่ผ่านมาน้อยกว่า ก็จะเรียกเก็บเพิ่มภายใน
31 มีนาคม หกจำนวนเงินค่าจ้างรวมทั้งปีต่ำกว่าเดิมทำให้เงินสมทบ
ที่เรียกเก็บสูงกว่าความเป็นจริง เมื่อตรวจบัญชีของนายจ้างแล้ว
หากค่าจ้างต่ำกว่าที่ประเมินไว้จะได้รับเงินสมทบส่วนที่จ่ายเกินคืน
การรายงานค่าจ้าง
นายจ้างต้องรายงายค่าจ้างที่จ่ายจริงของปีที่ผ่านมาภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
การไม่รายงานค่าจ้างภายในกำหนดอาจมีผลทำให้นายจ้างต้องชำระเงินเพิ่มตามกฎหมาย หากเงินสมทบที่คำนวณได้สูงกว่าเงินสมทบที่จ่ายไว้เมื่อเดือนมกราคมของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นายจ้างใดไม่จ่ายเงินสมทบภายในกำหนดเวลาหรือจ่ายเงินสมทบไม่ครบจำนวน
ต้องจ่ายเงินเพิ่มตามกฎหมายอีกในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย
เมื่อใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง?
·
สิทธิเกิดขึ้นทันทีนับตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานให้นายจ้าง
การประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานหมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่า
การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือผลกระทบแก่จิตใจหรือถึงความตายเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้นายจ้าง
หรือทำตามคำสั่งของนายจ้าง
การเจ็บป่วยด้วยโรคเนื่องจากการทำงานหมายความว่าอย่างไร?
การที่ลูกจ้างเจ็บป่วยหรือถึงแก่ความตายด้วยโรคซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงาน
หรือเนื่องจากการทำงาน
สูญหาย หมายความว่าอย่างไร
การที่ลูกจ้างหายไปในระหว่างการทำงานหรือปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้าง
ซึ่งมีเหตุอันควรเชื่อว่าลูกจ้างถึงแก่ความตาย
เพราะประสบเหตุอันตรายที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานหรือปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้างนั้น
รวมตลอดถึงการที่ลูกจ้างหายไปในระหว่างเดินทางโดยเฉพาะทางบก ทางอากาศ
หรือทางน้ำเพื่อไปทำงานให้นายจ้าง
ซึ่งมีเหตุอันควรเชื่อว่าพาหนะนั้นได้ประสบเหตุอันตรายและลูกจ้างถึงแก่ความตาย
ทั้งนี้ เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 120 วัน นับแต่วันที่เกิดเหตุนั้น
เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน
จะได้รับอะไรบ้าง?
ได้รับเงินทดแทน
ซึ่งประกอบด้วย ค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนรายเดือน ค่าทำศพ
และค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน
1. ค่ารักษาพยาบาล
ได้รับเงินเท่าใด?
มีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน
50,000 บาท ต่อการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย 1 ครั้ง
หากมีการบาดเจ็บที่รุนแรงหรือเรื้อรังตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย
พ.ศ.2558 จ่ายเพิ่มได้อีก 100,000 บาท รวมแล้วไม่เกิน 150,000 บาท
หากไม่เพียงพอสามารถจ่ายเพิ่มได้อีก รวมแล้วไม่เกิน 300,000 บาท
หรือหากไม่เพียงพอสามารถจ่ายเพิ่มขึ้นได้อีกรวมแล้วไม่เกิน 500,000 บาท
โดยตามความเห็นของคณะกรรมการการแพทย์
และหากไม่เพียงพอสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น แต่รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,000,000
บาท โดยคณะกรรมการการแพทย์พิจารณาและ๕ระกรรมการกองทุนเงินทดแทนให้ความเห็นชอบ
2. ค่าทดแทนรายเดือน
รับอย่างไร?
เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
เนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง จนเป็นเหตุให้มีการหยุดงาน สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ
ตาย หรือสูญหาย จะได้ค่าทดแทนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน
ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในท้องที่ที่ลูกจ้างประจำทำงานอยู่ และไม่เกิน
12,000 บาทต่อเดือน
1)
กรณีแพทย์ให้หยุดพักรักษาตัว จะได้รับสิทธิอะไรบ้าง?
มีสิทธิได้รับค่าทดแทนร้อยละ
60 ของค่าจ้างรายเดือน กรณีลูกจ้างไม่สามารถทำงานติดต่อกันได้เกิน 3 วัน
แต่ไม่เกิน 1 ปี โดยต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ระบุหยุดพักรักษาตัวติดต่อกันเกิน 3
วันขึ้นไป และลูกจ้างมีการหยุดพักรักษาตัวจริงตามในรับรองแพทย์
2)
กรณีสูญเสียอวัยวะ จะได้รับอะไรบ้าง?
มีสิทธิได้รับค่าทดแทนร้อยละ 60
ของค่าจ้างรายเดือนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี ทั้งนี้ การประเมินการสูญเสียอวัยวะ
ลูกจ้างต้องได้รับการรักษาพยาบาลทางการแพทย์จนสิ้นสุดการรักษา
และอวัยวะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างประสบอันตราย
3)
กรณีทุพพลภาพ จะได้รับอะไรบ้าง?
มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนร้อยละ 60
ของค่าจ้างรายเดือนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี
4) กรณีถึงแก่ความตายหรือสูญหาย จะได้รับอะไรบ้าง?
มีสิทธิได้รับค่าทดแทนร้อยละ
60 ของค่าจ้างรายเดือนเป็นระยะเวลา 8 ปี จ่ายให้กับผู้มีสิทธิตามกฎหมาย และค่าทำศพ
3. ค่าทำศพ
จ่ายอย่างไร?
ได้รับค่าทำศพ เป็นจำนวน 100 เท่าของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน
ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน โดยจ่ายให้กับผู้จัดการศพ
4. หากลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู
จะได้รับค่าฟื้นฟูอย่างไร?
กรณีฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานภายหลังการประสบอันตรายสำหรับลูกจ้างที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู
ได้รับตามอัตราดังนี้
-
ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานด้านอาชีพ
โดยให้จ่ายได้เฉพาะที่เป็นการฝึกตามหลักสูตรที่หน่วยงานของสำนักงานประกันสังคมเป็นผู้ดำเนินการ
ไม่เกิน 24,000 บาท
-
ค่าใช้จ่ายในกระบวนการเวชศาสตร์ฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานด้านการแพทย์
โดยเป็นค่าใช้จ่ายทางกายภาพบำบัดไม่เกินวันละ 200 บาท และค่าใช้จ่ายทางกิจกรรมบำบัดไม่เกินวันละ
100 บาท แต่รวมแล้วไม่เกิน 24,000 บาท
-
ค่าใช้จ่ายในกระบวนการบำบัดรักษาและการผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานไม่เกิน
40,000 บาท หากมีความจำเป็นให้จ่ายเพิ่มได้อีกไม่เกิน 110,000 บาท
โดยคณะกรรมการการแพทย์พิจารณา และคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนให้ความเห็นชอบ
-
ค่าวัสดุและอุปกรณ์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู
หน่วยละไม่เกินอัตราตามที่กระทรวงการคลังกำหนด แต่รวมแล้วไม่เกิน 160,000 บาท
โดยกฎกระทรวงกำหนดการจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานที่ให้นายจ้างจ่าย
พ.ศ.2558 มีผลใช้บังคับตังแต่วันที่ 16 มีนาคม 2558
และใช้บังคับรวมถึงลูกจ้างที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยซึ่งอยู่ระหว่างเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานอยู่ในวันก่อนที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับโดยให้ใช้อัตราค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานตามกฎกระทรวงนี้นับตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับเป็นต้นไป
ถ้าลูกจ้างตายหรือสูญหาย
ใครเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทน?
ผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทน ได้แก่
1.
มารดา
2.
บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย
3.
สามีหรือภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย
4.
บุตรที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
5.
บุตรที่มีอายุตั้งแต่ 18
ปีขึ้นไป ที่ยังศึกษาอยู่ในระดับที่ไม่สูงกว่าปริญญาตรีให้ได้รับส่วนแบ่งต่อไปตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่
6.
บุตรที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี
และทุพพลภาพหรือหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
ซึ่งอยู่ในอุปการะของลูกจ้างก่อนลูกจ้างถึงแต่ความตายหรือสูญเสีย
7.
บุตรของลูกจ้างซึ่งเกิดภายใน
310 วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างถึงแก่ความตาย หรือวันที่เกิดเหตุ สูญเสีย
มีสิทธิรับเงินแทนนับแต่วันคลอด
8.
หากไม่มีบุคคลดังกล่าวข้างต้น
ให้ผู้อยู่ในอุปการะของลูกจ้างก่อนถึงแก่ความตาย หรือสูญเสียเป็นผู้มีสิทธิ
แต่ผู้อยู่ในอุปการะดังกล่าวจะต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะขาดอุปการะจากลูกจ้างที่ตายหรือสูญเสีย
การเข้ารับการรักษาพยาบาล ทำอย่างไร?
นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาลทันทีในสถานพยาบาลใดก็ได้
ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยแบ่งเป็น 2 กรณี
( 1 ) โดยสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน
( 2 ) กรณีเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลในความตกลงให้นายจ้างส่งแบบ
กท.44 นายจ้าง ลูกจ้างไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล
สถานพยาบาลในความตกลงของกองทุนเงินทดแทนจะเรียกเก็บจากกองทุนเงินทดแทนภายในวงเงินที่กฎหมายกำหนด
การแจ้งการประสบอันตรายทำโดยวิธีใด?
นายจ้างหรือผู้รับมอบอำนาจแจ้งตามแบบ กท.16 โดยยื่นเรื่อง ณ
สำนักงานประกันสังคมที่ลูกจ้างทำงานอยู่
หรือที่นายจ้างมีภูมิลำเนาซึ่งสามารถส่งเอกสารได้โดยตรงที่สำนักงานประกันสังคมหรือส่งทางไปรษณีย์
ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้าง
การแจ้งการประสบอันตรายนายจ้างและลูกจ้างต้องแสดงเอกสารใบเสร็จรับเงิน
ใบรับรองแพทย์ ประวัติการรักษาพยาบาล และหลักฐานการปฏิบัติงานประกอบการพิจารณา
เช่น หลักฐานการลงเวลาทำงาน รวมทั้งให้ข้อเท็จจริงจะทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่วินิจฉัยได้รวดเร็ว
ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิ ต้องยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทนภายในกี่วัน?
ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ประสบอันตราย
เจ็บป่วย หรือสูญหาย
หากการเจ็บป่วยหรือเกิดโรคจากการทำงานหลังสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างให้ยื่นคำร้องภายใน
2 ปี นับแต่วันที่ราบการเจ็บป่วย
ค่ารักษาพยาบาล
เบิกได้อย่างไร?
ลูกจ้างสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่มีแพทย์แผนปัจจุบันชั้น
1 ได้ทุกโรงพยาบาล
โดยสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลและให้นำใบเสร็จรับเงินพร้อมใบรับรองแพทย์
มาขอรับค่ารักษาพยาบาลคืนได้ ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่จ่ายตามอัตราที่กำหนดในทางกฎหมาย
กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่ทำความตกลงกับกองทุนเงินทดแทน
สถานพยาบาลนั้นจะเรียกเก็บเงินจากกองทุนเงินทดแทนโดนตรง
และขอให้นายจ้างตรวจค่ารักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลทุกครั้งที่ส่งตัวลูกจ้างเข้ารับการรักษาพยาบาล
ซึ่งการจ่ายค่ารักษาพยาบาลจะจ่ายตามราคาประกาศของสถานพยาบาลที่ประกาศให้ประชาชนทราบ
ทั้งนี้ ไม่เกินอัตราที่กฎหมายกระทรวงกำหนด
และสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลในความตกลงของกองทุนเงินทดแทนได้ที่ www.sso.go.th เมนู ดาวน์โหลด หัวข้อข้อมูลสถานพยาบาล
ช่องทางการรับเงิน รับได้ทางใด และใช้หลักฐานอะไรบ้าง?
การรับเงินทดแทน
สามารถรับได้ดังนี้
1.
รับที่สำนักงานประกันสังคมที่รับผิดชอบ
โดยรับเงินด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจรับเงินแทน ใช้หลักฐานคือ บัตรประจำตัวประชาชน
หรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้ซึ่งมีรูปถ่าย หากไม่ได้มารับด้วยตนเอง
จะต้องมีใบมอบอำนาจพร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบและผู้รับมอบมาแสดง
2.
รับทางธนาณัติ
3.
รับผ่านบัญชีออมทรัพย์ธนาคาร
2 แห่ง คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
คลินิกโรคจากการทำงาน คืออะไร?
กระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุข
ตระหนักถึงกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าและสำคัญยิ่งของประเทศ
โดยได้จัดทำข้อตกลงความร่วมมือการจัดตั้ง “โครงการศูนย์โรคจากการทำงาน” ขึ้น
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2548
1) วัตถุประสงค์
- จัดให้มีระบบการดูแลสุขภาพและการวินิจฉัยโรคจากการทำงานของลูกจ้าง
- ดูแล
รักษา หลังจากการเกิดโรคและอุบัติเหตุ
-
พัฒนาคลินิกอาชีวเวชศาสตร์และเครือข่าย
ตลอดจนแนวทางการวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐาน
-
สร้างระบบป้องกันและส่งเสริมสุขภาพอย่างเป็นธรรม
2) วิธีการเข้ารักษาที่คลินิกโรคจากการทำงาน
ลูกจ้างที่สงสัยว่าเจ็บป่วยด้วยโรคจากการทำงาน
สามารถเข้ารับบริการตรวจวินิจฉัยได้ที่คลินิกโรคจากการทำงาน
โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น โดยมีเงื่อนไขในการเข้ารับบริการ ดังนี้
1. ยื่นแจ้งการประสบอันตรายฯ
ตามแบบ กท.16 ต่อสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา
ที่ลูกจ้างทำงานอยู่ หรือที่นายจ้างมีภูมิลำเนา
เพื่อขอหนังสือส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่ให้บริการ
คลินิกโรคจากการทำงานหรือติดต่อคลินิกโรคจากการทำงานโดยตรง
2. กรณีถือบัตรรับรองสิทธิของโรงพยาบาลที่ให้บริการคลินิกโรคจากการทำงาน
สามารถเข้ารับบริการได้ โดยติดต่อคลินิกประกันสังคม เพื่อตรวจคัดกรองเบื้องต้น
หากพยาบาลที่คัดกรองโรคหรือแพทย์ผู้ทำการตรวจวินิจฉัยสงสัยว่าเจ็บป่วยด้วยโรคจากการทำงาน
จะส่งต่อไปยังคลินิกโรคจากการทำงาน
3. กรณีลูกจ้างเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยไม่ได้แจ้งการประสบอันตราย
หากผลการตรวจวินิจฉัยพบว่า
ลูกจ้างเจ็บป่วยจากการทำงานให้แจ้งนายจ้างยื่นแบบการประสบอันตราย (กท.16)
ต่อสำนักงานประกันสังคม ภายใน 15 วัน เพื่อให้โรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในส่วนของกองทุนเงินทดแทน
จากสำนักงานประกันสังคมโดยตรง
4.
กรณีผลการตรวจลูกจ้างไม่เจ็บป่วยจากการทำงาน
ลูกจ้างไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิจฉัย
เนื่องจากกองทุนเงินทดแทนให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่โรงพยาบาลแล้ว
คลินิกโรคจากการทำงาน มีที่ใดบ้าง
สามารถตรวจสอบรายชื่อคลินิกโรคจากการทำงาน ได้ที่ www.sso.go.th เมนู ดาวน์โหลด
หัวข้ออื่นๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น