สมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน
ฟ้าทลายโจร
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Andorgraphis
paniculata Wall.ex Nees
ชื่อวงศ์ : ACANTHACEAE
ชื่ออังกฤษ : King of Bitter ; chiretta
ชื่ออื่นๆ : น้ำลายพังพอน
ฟ้าทะลาย(กรุงเทพ) หญ้ากันงู(สงขลา) ฟ้าสาง(พนัสนิคม ) เขตตายายคลุม(โพธาราม)
สามสิบดี(ร้อนเอ็ด) เมฆทะลาย (ยะลา) ฟ้าสะท้าน (พัทลุง)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นพืชล้มลุกสูง 1-2 ศอก ลำต้นสี่เหลี่ยม
แตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเป็นใบเดี่ยวใบยาวเรียวออกตรงข้าม
ดอกเป็นดอกเดี่ยวมีกลีบดอกสีขาว กลีบดอกมี 2 ปาก ผลเป็นฝักสีเขียวอมน้ำตาลปลายแหลม
เมื่อผลแก่จะแตกเป็น 2 ซีกดีดเมล็ดออกมา มีรสขม
ส่วนที่ใช้ประโยชน์ : ทั้งต้น
สรรพคุณ : แก้เจ็บคอ
รักษาอาการท้องร่วง บรรเทาอาการหวัด
วิธีใช้ :
1. ในรูปยาต้ม
ใช้ใบและลำต้นสับเป็นข้อสั้นๆ 1-3 กำมือ (แก้อาการเจ็บคอใช้ 1 กำมือ ต้มกับน้ำนาน
10-15 นาที ใช้น้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 3
ครั้ง หรือดื่มเมื่อมีอาการท้องร่วง )
2. ยาลูกกลอน
นำใบและกิ่งฟ้าทะลายโจรมาล้างให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้งบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งขึ้นเป็นเม็ดขนาดเท่านิ้วก้อย
รับประทานครั้งละ 3-6 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน
3. ยาแคปซูล วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น
4. ยาดองเหล้า
นำใบและลำต้นที่แห้งแล้วทำเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในขวดแก้วแช่ด้วยเหล้าโรง
พอให้ท่วมยาเล็กน้อย ปิดฝาให้แน่น เขย่าขวดหรือคนยาดองวันละครั้งเมื่อครบ 7 วัน
กรองเอาแต่น้ำเก็บไว้ในขวดที่สะอาดและปิดมิดชิด ใช้รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหาร
ข้อควรระวัง : 1. หลังจากการรับประทานฟ้าทะลายโจร
ถ้าเกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย ปวด-เอว เวียนหัว แสดงว่าแพ้ยา
ให้หยุดยาทันทีและปรึกษาแพทย์
2. ไม่ควรรับประทานฟ้าทะลายโจรติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะฟ้าทะลายโจรเป็นยาเย็น
การรับประทานติดต่อกันจะทำให้เกิดอาการมือเท้าชา อ่อนแรงได้
3. การเตรียมยาฟ้าทะลายโจรในรูปแบบยาลูกกลอนและยาดองเหล้าไม่ควรเก็บไว้นานเกิน
3 เดือนเพราะยาจะเสื่อมคุณภาพ
พลู
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper betle
Linn.
ชื่อวงศ์ : PIRERACEAE
ชื่ออังกฤษ : Betle vine, Betle Pepper
ชื่ออื่นๆ : พลูจีน(กลาง) บู(เหนือ)
เปล้าอ้วน,ซีเก๊ะ(นราธิวาส) คื่อเจี่ย(แต้จิ๋ว)
จวี้เจี้ยง(จีนกลาง)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถา
ไม่แข็ง ลำต้นเกลี้ยงเลื้อยพันต้นไม้อื่น โดยอาศัยรากที่ติดตามข้อใบ
เป็นใบเดี่ยวออกสลับกัน รูปไข่หรือรูปกลมแกมรูปไข่
โคนใบกลมเบี้ยวหรือรูปหัวใจปลายใบแหลม เนื้อใบหน้าเป็นมัน มีกลิ่นฉุน รสเผ็ด
ดอกสีขาว ออกเป็นช่อแน่นบนแกนยาว ผลอัดแน่นเป็นช่อมีเนื้อนุ่ม ใน 1
ผลมีเมล็ดเดียวค่อนข้างกลม
ส่วนที่ใช้ประโยชน์ : ใบสด
สรรพคุณ : รสเผ็ด
เป็นยาฆ่าเชื้อโรคมีสัมฤทธิ์ขับลม ตำกับเหล้าทาบริเวณที่เป็นลมพิษ
วิธีใช้ : ใช้ใบสด 3-4 ตำผสมกับเหล้าโรงปริมาณเล็กน้อย
คั้นเอาน้ำทาหรือใช้ทั้งน้ำและกากใบพลู
ทาบริเวณที่เป็นลมพิษหรือบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยบ่อยๆ
ขมิ้นชัน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Curcuma
longa Linn.
ชื่อวงศ์ : ZINGIBERACEAE
ชื่ออังกฤษ : Turmeric, Curcuma, Yellow root
ชื่ออื่นๆ : ขมิ้น, ขมิ้นแกง, ขมิ้นหยวก, ขมิ้นหัว(เชียงใหม่), ขี้มิ้น, หมิ้น(มลายู),
ตาย่อ (กำแพงเพชร) สะยอ (แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : พืชล้มลุกมีลำต้นอยู่ใต้ดิน
เรียกว่า เหง้า เหง้ามีสีเหลืองอมส้ม ขนาดเหง้าเล็กกลิ่นฉุน
ส่วนเหนือดินเป็นก้านใบหุ้มซ้อนกัน ใบมีขนาดใหญ่ ท้องใบไม่มีขน ดอกออกเป็นช่อ
ช่อดอกยาว มีใบประดับสีเขียวอ่อนหรือสีขาวรูปหอกเรียงซ้อนกัน กลีบดอกสีเหลือง
ถึงหน้าแล้งขมิ้นจะลงหัวต้นและใบบนดินจะแห้ง
ส่วนที่ใช้ประโยชน์ : เหง้าสดและแห้ง
สรรพคุณ : รสฝาด กลิ่นหอม แก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน ขับลม
แก้ท้องร่วง
วิธีใช้ : 1. ยาลูกกลอน ใช้ขมิ้นสดล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก)
หั่นเป็นชิ้นบางๆ ตากแดดจัด 1-2 วัน
บดให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นเม็ดขนาดปลายนิ้วก้อย ผึ่งลมให้แห้งและเก็บในขวดที่สะอาดมิดชิด
รับประทานครั้งละ 2-3 เม็ด วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน
2. แคปซูล ใช้ขมิ้นสดล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นบางๆ ตากแดดหรืออบให้แห้ง
ใช้ขมิ้นผงบรรจุปริมาณ 250 มิลลิกรัม ต่อแคปซูลรับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง
หลังอาหารและก่อนนอน
ข้อควรระวัง
:
หลังการรับประทานขมิ้นแล้วมีการแพ้
เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัว ให้หยุดยาทันทีและปรึกษาแพทย์
ไพล
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber
cassumunar Roxb.
ชื่อวงศ์ : ZINGIBERACEAE
ชื่ออื่นๆ : ปูลอย ปูเลย (เหนือ) ว่านไฟ (กลาง) มิ้นสะล่าง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
: พืชล้มลุกมีเหง้าใต้ดิน
มีเนื้อสีเหลืองอมเขียว และมีกลิ่นหอม ลำต้นเทียมแทงขึ้นมาจากดินมีสีเขียว
ใบออกตรงข้ามต้น มีลักษณะยาวเรียว เนื้อในบางและปลายแหลม โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น
ดอกเป็นช่อแทงจากดินโดยตรง มีกลีบประดับซ้อนกันแน่น มีดอกเหลืองอยู่ระหว่างกลีบประดับ
ไพลชอบดินเหนียวปนทรายระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำขังแฉะเพราะจะทำให้รากเน่า
ส่วนที่ใช้ประโยชน์ : เหง้าแก่จัด
สรรพคุณ : แก้ฟกช้ำ บวม เคล็ดขัดยอก ขับลม ท้องเดิน
และช่วยขับระดูสตรีนิยมใช้เป็นยาหลังคลอดบุตร
วิธีใช้ :
1. ใช้เหง้าสด 1 เหง้า
ตำให้แหลกคั้นเอาน้ำทาถูนวดบริเวณที่มีอาการหรือใช้เหง้าสดตำพอบริเวณที่ปวดบวม
2. ใช้เหง้าไพลสดล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นบางๆ
ต้มกับน้ำมันพืชโดยใช้ไฟอ่อนๆ ในอัตราส่วน 2:1 ต้มจนน้ำมันที่ได้เป็นสีเหลืองใส
กรองเอาน้ำมันเก็บไว้อาจผสมการบูรลงไปด้วย ใช้ทาบริเวณที่เคล็ดขัดยอก
มะแว้งต้น
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Solanum
indicum Linn.
ชื่อวงศ์
: SOLANACEAE
ชื่ออื่นๆ
: มะแว้งขม, มะแคว้ง, มะแคว้งดำ, (เหนือ) มะแว้ง (กลาง) แว้งขม (สุราษฎร์ธานี,สงขลา)
สะกั้งแค (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) หมากแฮ้งดง (ฉาน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
: ไม้พุ่ม
ตามลำต้น และกิ่งก้านมีขนสีเทาและหนามโค้งแหลมๆ ส่วนท้องใบสีเทาเกือบขาว
มีขนหนาแน่นมีหนามแหลมๆ ตามแนวเส้นกลางใบเนื้อใบค่อนข้างหนา โคนใบกว้าง
และค่อยๆสอบแคบไปทางปลายใบ ขอบใบหยัก ดอกสีขาวอมม่วง ดอกออกตามกันเป็นช่อเป็นพ่วงสั้นๆ
ตามง่ามใบตามก้านช่อมีหนามแหลมประปราย ผลกลมเกลี้ยงอุ้มน้ำ ออกรวมกันเป็นพวง
ผลสุกสีแดง และภายในมีเมล็ดมาก
ส่วนที่ใช้ประโยชน์
: ผลแก่สด
สรรพคุณ
: แก้ไอ ขับเสมหะ
วิธีใช้ : ใช้ผลแก่สดของมะแว้ง 5-6 ผล ล้างให้สะอาดนำมาเคี้ยวอมไว้
กลืนเฉพาะน้ำจนหมดรสขมแล้วคายกากทิ้งหรือจะกลืนทั้งน้ำและเนื้อก็ได้
หญ้าหนวดแมว
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Orthosiphon aristatus (bl.) Miq.
ชื่อวงศ์ : LABIATAE
ชื่ออังกฤษ : Kidney
Tea Plant, Java Tea
ชื่ออื่นๆ : พยับเมฆ, บางรักป่า(ประจวบคีรีขันธ์)
อีตู่ดง(เพชรบูรณ์)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : พืชล้มลุกโคนต้นแข็งมักจะแตกกิ่งก้านจากโคนต้น
ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม มีขนสั้นๆปกคลุมใบเขียว เรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ
แผ่นใบรูปไข่แกมรูปหอก รูปไข่หรือรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ฐานใบเป็นครีบ
ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย ปลายใบแหลม ตามเส้นใบอาจมีขนเล็กๆหรือเกลี้ยง ตามผิวใบทั้ง
2 ด้าน มีตุ่มเป็นจุดๆ จำนวนมาก ดอกช่อลักษณะคล้ายฉัตร
ส่วนที่ใช้ประโยชน์ : ใบและยอดแห้ง
สรรพคุณ : ใช้ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว
วิธีใช้ : ใช้ยอดอ่อน
ควรเก็บตอนที่หญ้าหนวดแมวกำลังออกดอกเพราะเป็นช่วงที่มีสาระสำคัญมาก
ชงกับน้ำเดือดดื่มขณะร้อนๆวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
บอระเพ็ด
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tinspora
crispa Miers. Ex Hook. F & Thoms.
ชื่อวงศ์ : MENISPERMACEAE
ชื่ออื่นๆ : เครือเขาฮอ, จุ่งจิง (เหนือ) เจตมูลหนาม
(หนองคาย) หางหน (สระบุรี, อุบลราชธานี) ตัวเจมูลยาน เถาหัวด้วน (สระบุรี)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
: ไม้เถาเลื้อยพันลำต้นมีปมทั่วไป
รสขมมากเปลือกสีเทาอมเขียวขึ้นเกาะตามต้นไม้อื่น มักมีรากอากาศคล้ายเชือกเส้นเล็กๆ
ห้อยลงมาเป็นสายๆ ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหัวใจ โคนใบหยักเว้นลึก ผิวใบบาง
ดอกออกเป็นช่อขนาดเล็ก สีเหลือง ผลกลมรี
ส่วนที่ใช้ประโยชน์ : เถาสด
สรรพคุณ : แก้ไข้, ช่วยเจริญอาหาร
วิธีใช้ :
ใช้เถายาวประมาณ 2 คืบ ( น.น. 30-40 กรัม)
ตำคั้นเอาน้ำมาดื่มหรือต้มกับน้ำ 3 ส่วน เคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหารวันละ
2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือเวลามีไข้
แมงลัก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum
americanum Linn.
ชื่อวงศ์ : LABIATAE
ชื่ออื่นๆ : มังลัก (กลาง), ก้อนก้อขาว (เหนือ)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : พืชล้มลุกลำต้นตั้งสูงแตกกิ่งก้านสาขา
ลำต้นและกิ่งมีสันตามยาว มีขนเล็กน้อยหรือเกลี้ยงมีกลิ่นหอม
ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงแบบตรงกันข้ามเป็นคู่ๆ รูปหอกหรือรูปรี ปลายและโคนใบแหลม ขอบใบเรียวหรือหยักมนๆ
ห่างๆ ไม่มีขน แต่มีต่อมเป็นจุดๆ ตามใบผิวหนังทั้งสองด้าน
ดอกเป็นดอกช่อที่ยอดอาจจะเป็นช่อเดี่ยวๆ หรือแตกสาขา ปลายแหลมมีขนก้านดอกสั้นมาก
ผลเป็นชนิดแห้ง
ส่วนที่ใช้ประโยชน์ : ใบและเมล็ดแก่
สรรพคุณ : เป็นยาระบาย, ใช้เป็นยาช่วยขับลม
ลดอาการจุกเสียด
วิธีใช้ : 1.
ใช้เมล็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำ 1 แก้วใหญ่ จนพองตัวเต็มที่
2. ใช้ใบสด 10 ใบ ล้างสะอาด
ตำผสมน้ำเล็กน้อยคั้นน้ำทาบริเวณที่เป็นกลาก
น้ำนมซึ่งมักจะเห็นเป็นผื่นแดงโดยทาวันละครั้งเป็นเวลา 1 สัปดาห์
เล็บมือนาง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Qcimum
americanum Linn.
ชื่อวงศ์ : LABIATAE
ชื่ออื่นๆ : จะมั่ง, จ๊ามัง, มะจีมั่ง (เหนือ)
ไทหม่อง (กระเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถาขนาดกลาง
ลำต้นและกิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลอมเทาทั่วไป ส่วนต้นแก่ๆ
เกลี้ยงและมักมีกิ่งที่เปลี่ยนสภาพคล้ายหนามติดอยู่ทั่วไป
ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ ในรูปมนแกมรูปขอบขนาน เนื้อใบบางมีขนทั่วไป โคนใบหยักเว้าเข้าเล็กน้อย
ส่วนปลายใบหยักเป็นคอดเป็นติ่งสั้นๆ
ส่วนที่ใช้ประโยชน์ : เมล็ด
สรรพคุณ : เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือน
วิธีใช้ : เด็กใช้ครั้งละ
2-3 เมล็ด ผู้ใหญ่ใช้ 4-5 เมล็ดโดยนำมาใช้ดังนี้
1. นำเมล็ดมาทุบพอแตกต้มเอาน้ำดื่ม
2. นำมาป่นเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอน
3. นำมาฝานเป็นแผ่นบางๆ
แล้วทอดกับไข่ให้เด็กรับประทาน
ขี้เหล็ก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia
siamea Britt
ชื่อวงศ์ : LEGUMINOSAAE
ชื่ออื่นๆ : ขี้เหล็กบ้าน (ลำปาง,สุราษฎ์ธานี) ขี้เหล็กหลวง
(เหนือ) ขี้เหล็กแก่น (ราชบุรี) ขี้เหล็กใหญ่ (กลาง) ยะหา (ปัตตานี)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ยืนต้นขนาดกลาง
ใบเป็นใบประกอบ ซึ่งประกอบดด้วยใบย่อยมีประมาณ 10 คู่ โคนใบกลมมน
ปลายใบเว้าเล็กน้อย ใบอ่อนมีขนน้ำตาลแกมเขียว ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง
กลีบดอกสีเหลือง ผลเป็นฝักแบนยาวและหนา ภายในมีเมล็ด 20-30 เมล็ด
ส่วนที่ใช้ประโยชน์ : ใบอ่อน
ดอกและแก่น
สรรพคุณ : เป็นยาระบายอ่อนๆ
แก้ท้องผูก แก้อาการนอนไม่หลับ ช่วยเจริญอาหาร
วิธีใช้ : 1. ใช้ใบขี้เหล็กต้มกับน้ำครึ่งชั่วโมงใช้น้ำดื่มก่อนนอน
2.
ใช้ใบแห้ง 30 กรัม หรือใช้ใบอ่อนดองเหล้าพอท่วมแช่ไว้ 7 วัน คนบ่อยๆกรองเอากากออกดื่มครั้งละ
1-2 ช้อนชาก่อนนอน
พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์
: Cllinacanthus
nutans (Burn.f.) Lindau.
ชื่อวงศ์
: ACANTHACEAE
ชื่ออื่นๆ
: ผักมันไก่
ผักลิ้นเซียด (เชียงใหม่) พญาปล้องดำ (ลำปาง) เสลดพังพอนตัวเมีย, พญาปล้องทอง
(กลาง) ลิ้นมังกร, โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
: ไม้พุ่ม กิ่งก้านมีขนนุ่มใบเป็นใบเดี่ยว
รูปรีแคบแกมขอบขนาน หรือรูปหอก ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมักเบี้ยว
ขอบใบจักรเป็นซี่ฟันหรือค่อนข้างเรียบ มีขนนุ่มตามเส้นใบ
ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอดแต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกสีแดงส้ม
โคนกลีบติดกันเป็นหลอดยาวปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลแห้ง รูปขอบขนาดติดกัน
ก้านสั้นมีเมล็ด 4 เมล็ด
ส่วนที่ใช้ประโยชน์
: ใบสด
สรรพคุณ
: ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อยโรคผิวหนัง
แก้เริม
วิธีใช้
:
งูสวัดใช้ใบสด 10-15 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ตำหรือขยี้ให้แหลก
ปัจจุบันมีการเตรียมเป็นทิงเจอร์เพื่อใช้รักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น